VITAMIN D BOOSTER

วิตามินดี (Vitamin D) เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน มีหน้าที่หลักในการช่วยร่างกายดูดซึมแร่ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสจากอาหาร ช่วยรักษาสมดุลแคลเซียมในเลือด และช่วยเก็บแคลเซียมเข้ากระดูก เพื่อคงมวลกระดูก เพิ่มความแข็งแรงของกระดูกและฟัน การขาดวิตามินดี เป็นสาเหตุของโรคกระดูกอ่อนน่วม (Osteomalacia) ในเด็ก และโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ในผู้สูงอายุ
เนื่องจากคนเราได้รับวิตามินดีจากแสงแดดเป็นหลัก เมื่อก่อนคนไทยเราจึงไม่ค่อยพบ ปัญหาขาด วิตามินดี (Vitamin D) กันสักเท่าไหร่ เพราะเมืองไทยเป็นเมืองร้อน ตั้งอยู่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร แต่จากงานวิจัยในปัจจุบันกลับพบว่า คนไทย โดยเฉพาะคนกรุงเทพเกินครึ่ง มีภาวะขาดวิตามินดี ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ การสร้างตึกสูงมีเพิ่มมากขึ้น ร่วมกับพฤติกรรมการหลีกเสี่ยงแสงแดด และไลฟ์สไตล์คนเมืองส่วนใหญ่ใช้เวลาทำงานในออฟฟิศเพิ่มมากขึ้น “ ปัจจุบันมีการศึกษาพบว่า วิตามินดี ไม่ใช่แค่วิตามินอีกต่อไป แต่มันคือ ฮอร์โมน ที่มีความสำคัญกับสุขภาพของคนเรามากกว่าแค่เรื่องกระดูก ”
โดยพบว่าวิตามินดี มีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเพศ มีบทบาทสำคัญในระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น ระบบภูมิต้านทาน ระบบเผาผลาญ ระบบไหลเวียน ระบบประสาท เราพบตัวรับวิตามินดี (VDR) ในเกือบทุกเซลล์ในร่างกาย เราพบกลไกใหม่ๆของวิตามินดีมากขึ้น เช่น กลไลการลดอาการปวด ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ควบคุมความดันโลหิต ช่วยการสร้างและการทำงานของเม็ดเลือดขาว ช่วยป้องกันการติดเชื้อ ช่วยสร้างสารสื่อประสาท ลดความเครียด ควบคุมการแสดงออกของยีน (gene expression) ควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์ และต้านมะเร็ง หลายปีนี้ การศึกษาความสำคัญของวิตามินดี เริ่มขยายตัวเป็นวงกว้างในระดับงานวิจัย มีงานวิจัยมากมายที่ค้นพบความสัมพันธ์ของวิตามินดี กับกลไกการเกิดโรคต่างๆมากมาย เช่น โรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง โรคภูมิแพ้ โรคแพ้ภูมิตัวเองในระบบต่างๆ (Autoimmune disorders) โรคข้ออักเสบรูห์มาตอยด์ โรคลำไส้แปรปรวน โรคเบาหวาน โรคอ้วนในเด็ก โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคสมาธิสั้น โรคซึมเศร้า รวมถึงโรคมะเร็งต่างๆ เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ และมะเร็งอื่นๆอีกกว่า 18 ชนิด
Vitamin D & Infection
นอกจากนั้น คนที่วิตามินดีต่ำ จะมีโอกาสติดเชื้ออีกด้วย โดยเฉพาะการติดเชื้อทางเดินหายใจ ไข้หวัด หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ และวัณโรค โดยวิตามินดีจะไปกระตุ้นการสร้าง และกระตุ้นทำงานของเม็ดเลือดขาว Macrophage ในการจับกินเชื้อโรค (phagocytosis) และยังไปกระตุ้นการสร้างสารฆ่าเชื้อโรค (Antimicrobial peptides) ซึ่งสามารถยับยั้งได้ทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อรา ซึ่งในปี 2010 ได้มีการทดลองเสริมวิตามินดี3 ขนาดวันละ 1,200 IU ให้กับเด็กนักเรียนญี่ปุ่น 167 คน โดยไม่สนใจระดับวิตามินดี พบว่าการเสริมวิตามินดี สามารถลดอัตราการป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล (the incidence of seasonal Influenza A) ได้เกือบเท่าตัว ในเด็กกลุ่มที่ได้รับวิตามินดีเสริม
Vitamin D & COVID-19
จากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้มีงานวิจัยเกี่ยวกับวิตามินดี กับ COVID-19 ที่ออกมามากมายในปี 2020 นี้ ยืนยันถึงความสำคัญของวิตามินดี กับการป้องกันการติดเชื้อ (prevention)ช่วยต้านไวรัส (antiviral activity) ช่วยลดความรุนแรงของโรค (severity) และลดอัตราการเสียชีวิต (mortality) ในคนไข้ที่มีอาการรุนแรง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าส่วนหนึ่ง จะเสียชีวิตจากการควบคุม “Cytokine Storm” ไม่ได้ (สารที่เกิดจากการต่อสู้กันของเม็ดเลือดขาวและเชื้อไวรัส) Cytokines จึงไปทำลายเนื้อปอด ซึ่งวิตามินดีก็มีหน้าที่คอยควบคุม ไม่ให้เกิดการผลิตและการหลั่ง Cytokines พวกนี้ ออกมามากจนเกินไป งานวิจัยจึงสรุปว่า คนที่วิตามินดีต่ำ จะมีโอกาสเสียชีวิตสูงกว่าคนที่มีระดับวิตามินดีปกติ 15.6% และ การเสริมวิตามินดีในคนทั่วไป มีประโยชน์ในการป้องกันการติดเชื้อ COVID-19

ภาวะฉุกเฉิน?

พร้อม24ชม

โทรหาเราในกรณีฉุกเฉิน

กำลังมองหาคำแนะนำ และ ราคา?

DISCLAIMER

There’s no guarantee of specific results and that the results can vary (ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล)
thไทย